ทำความรู้จัก “การจดทะเบียนธุรกิจ”

จดทะเบียนบริษัท

      การจดทะเบียนบริษัทเป็นหมุดหมายสำคัญอย่างแรกๆของธุรกิจ นอกจากจะเป็นการแจ้งเกิดธุรกิจของเราให้มีตัวตนอย่างเป็นทางการแล้ว การจดทะเบียนธุรกิจยังเป็นการทำตามกฎหมายอย่างถูกต้อง, เพิ่มความน่าเชื่อถือในระยะยาว, บังคับให้เรามีระบบในการทำธุรกิจ, และยังเป็นการแยกตัวธุรกิจเป็น “นิติบุคคล” อีกคนหนึ่งออกจากเจ้าของธุรกิจ ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสี่ยงจากหนี้สินของธุรกิจ ไม่ให้มาไล่เบี้ยจากเจ้าของธุรกิจได้อีกด้วย 

ประเภทการจดทะเบียนธุรกิจ

      การจดทะเบียนธุรกิจแบ่งออกเป็น 1) การจดทะเบียนพาณิชย์สำหรับบุคคลธรรมดา และ 2) การจดทะเบียนบริษัทสำหรับนิติบุคคล มีรายละเอียดดังนี้

1) การจดทะเบียนพาณิชย์ (สำหรับบุคคลธรรมดา)

      ผู้ที่เข้าข่ายจดทะเบียนพาณิชย์ ได้แก่ 
– บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล ที่ค้าขายออนไลน์ หรือเป็นตัวแทนขาย ผ่าน website, ระบบร้านค้าออนไลน์, Facebook 
  – บุคคลธรรมดา ที่มีอาชีพค้าขาย และมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง 

      ทั้งนี้ การจดทะเบียนพาณิชย์เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีเจ้าของทำงานเพียงคนเดียว ขายสินค้าหรือบริการง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ข้อดีของการจดแบบนี้ คือ ผู้ประกอบการจะไม่มีภาระในการทำบัญชีหรือยื่นส่งงบ และมีอิสระในการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาจขาดความน่าเชื่อถือในระยะยาว หาพนักงานยาก ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคาร รวมไปถึงยังทำให้เจ้าของธุรกิจต้องมีภาระหน้าที่ทางกฎหมาย ในการรับภาระหนี้สินของธุรกิจแบบไม่จำกัด

2) การจดทะเบียนบริษัท (สำหรับนิติบุคคล)

      จะเหมาะสำหรับธุรกิจที่เติบโตขึ้นมาระดับหนึ่ง หรือมีเจ้าของ/ผู้ลงทุนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยการจดทะเบียนบริษัทจะทำให้มี “บริษัท” มีสถานะเป็น “นิติบุคคล” ที่มีตัวตนตามกฎหมาย แยกต่างหากจากเจ้าของธุรกิจ เจ้าของบริษัทจึงเป็นอิสระจากการไล่เบี้ยหนี้สินของบริษัท(เจ้าของธุรกิจมีภาระการชำระค่าหุ้นให้ครบตามทุนที่จดทะเบียนบริษัทไว้เท่านั้น) อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีภาระหน้าที่แยกต่างหากจากเจ้าของ โดยบริษัทต้องจัดทำบัญชี, เสียภาษี, ยื่นประกันสังคมให้พนักงาน เป็นต้น 

      แม้การมีภาระหน้าที่ดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอยการรู้สึกยุ่งยาก แต่ข้อดีคือ อัตราภาษีเงินได้ของนิติบุคคลจะไม่เกิน 20% ของรายได้หักค่าใช้จ่าย (ซึ่งน้อยกว่าอัตราภาษีของบุคคลธรรมดาทีสูงสุดที่  35%) ทั้งนี้ การจดทะเบียนนิติบุคคลสามารถทำได้ 3 แบบ ดังนี้

ห้างหุ้นส่วนสามัญ

      การทำกิจการแบบห้างหุ้นส่วนจำกัดสามัญนั้น ใช้กับผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยหุ้นส่วนทุกคนมีสิทธิจัดการกับกิจการ และแบ่งปันกำไรจากกิจการได้ แต่ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบหนี้สินของกิจการอย่างไม่จำกัด ทั้งนี้ ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่ได้จดทะเบียน จะมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดา

      แต่หากจดทะเบียน จะมีสภาพเป็นนิติบุคคลที่เรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล” โดยหุ้นส่วนทุกคนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินของกิจการ แบบ “ไม่จำกัดจำนวน” แต่อาจตกลงให้หุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนได้  

ห้างหุ้นส่วนจำกัด

      ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และต้องทำการจดทะเบียนนิติบุคคล โดยความรับผิดชอบของหุ้นส่วน จะแบ่งเป็นแบบ “จำกัด” และแบบ “ไม่จำกัด” ความรับผิดในหนี้สินของกิจการ   
– หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ “จำกัด”: จะรับผิดในหนี้สินกิจการไม่เกินจำนวนเงินลงทุนของตน แต่หุ้นส่วนประเภทนี้ จะไม่มีสิทธิตัดสินใจในกิจการ แต่มีสิทธิที่จะสอบถามการดำเนินงานของกิจการได้
– หุ้นส่วนผู้รับผิดชอบในหนี้สินแบบ “ไม่จำกัด”: จะรับผิดในหนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจการ โดยจะมีสิทธิตัดสินใจต่างๆ ในกิจการได้อย่างเต็มที่ 

บริษัทจำกัด

     ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป และต้องจดทะเบียนนิติบุคคล โดยผู้ถือหุ้นทุกคนจะรับผิดชอบในหนี้สินกิจการแบบ “จำกัด” กล่าวคือ ผู้ถือหุ้นมีภาระเพียงแค่จะต้องชำระเงินทุนตามค่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้เท่านั้น หากชำระครบแล้ว ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่เกิดขึ้นในกิจการอีก ด้วยการจำกัดความรับผิดนี่เองที่ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมจดทะเบียนแบบบริษัทจำกัด ทั้งนี้ การจดทะเบียนเป็นบริษัทนั้นส่งผลดี ทั้งต่อความน่าเชื่อถือ, การสร้างระบบการบริหาร, การมีระบบบัญชี และเอื้อต่อการระดมทุน รวมทั้งขอสินเชื่อจากธนาคารมากกว่าการจดทะเบียนแบบอื่น

ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัท

      ในการจดทะเบียนบริษัท ต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเยอะพอสมควร เพื่อตัดปัญหาความยุ่งยาก โดยทั่วไป ผู้ประกอบการจะจ้างสำนักงานบัญชีให้ช่วยดำเนินการจดทะเบียนบริษัทให้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการก็ควรจะรู้ขั้นตอนสำคัญๆไว้ ดังนี้ 

1. ตรวจและจองชื่อบริษัท:

      กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดบริการให้เราสามารถเข้าไปตรวจชื่อและจองชื่อบริษัทผ่านทาง internet ได้ทางลิงค์ ตรวจและจองชื่อบริษัท  โดยเราสามารถจองชื่อได้ถึง 3 ชื่อ แต่มีเงื่อนไขว่า ชื่อที่จองจะต้องไม่ซ้ำหรือใกล้เคียงกับบริษัทที่เคยจดทะเบียนไปแล้ว

2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ:

     บริษัทต้องจัดเตรียมหนังสือบริคณห์สนธิ (ข้อมูลสำคัญการจัดตั้งบริษัท) ไปจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ภายใน 30 วัน นับจากวันที่นายทะเบียนรับรองชื่อบริษัท ทั้งนี้ ข้อมูลในหนังสือบริคณห์สนธิ ประกอบด้วย  

  •       ชื่อบริษัท (ตามที่ได้จองชื่อไว้)
    •       ที่ตั้งสํานักงานใหญ่ / สาขา
    •       วัตถุประสงค์บริษัท
    •       ทุนจดทะเบียน
    •       ชื่อ ที่อยู่ อายุ สัญชาติ ของพยาน 2 คน
    •       ข้อบังคับ (ถ้ามี)
    •       จํานวนทุน (ค่าหุ้น) ที่เรียกชําระแล้ว อยางน้อยร้อยละ 25% ของทุนจดทะเบียน
    •       ชื่อ ที่อยู่ อายุของกรรมการ
    •       รายชื่อหรือจํานวนกรรมการที่มีอํานาจลงชื่อแทนบริษัท (อํานาจกรรมการ)
    •       ชื่อ เลขทะเบียนผู้สอบบัญชีรับอนุญาตพร้อมค่าตอบแทน
    •       ชื่อ ที่อยู่ สัญชาติ และจํานวนหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละคน

3. ยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัท 

     หลังจากจองชื่อและจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิแล้ว นายทะเบียนที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะดำเนินการตรวจเอกสาร หลังจากนั้น ให้เราเตรียมไปจดทะเบียนบริษัทได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยเตรียมเอกสาร ดังนี้

  •       แบบจองชื่อนิติบุคคล
  •       สําเนาบัตรประจําตัวของผู้เริ่มก่อการและกรรมการทุกคน
  •       สําเนาหลักฐานการรับชําระค่าหุ้นที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือหุ้น
  •       แผนที่แสดงที่ตั้งสํานักงานใหญ่ โดยสังเขป

      หมายเหตุ: ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องลงนามรับรองสำเนาถูกต้องในเอกสารทุกฉบับ ยกเว้นสำเนาบัตรประชาชน ที่ต้องให้เจ้าของบัตรลงนามรับรองเอง

ค่าธรรมเนียมและระยะเวลาในการจดทะเบียน

  • ค่าธรรมเนียม
    • ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ คิด 50 บาท/ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 500 บาท และไม่เกิน 25,000 บาท
    • ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนบริษัท คิด 500 บาท/ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท โดยมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 5,000 บาท และไม่เกิน 250,000 บาท
    • ค่าธรรมเนียมออกหนังสือรับรอง ฉบับละ 200 บาท
    • ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียน ฉบับละ 100 บาท
    • ค่ารับรองสำเนาเอกสาร หน้าละ 50 บาท
  • ระยะเวลาในการจดทะเบียน 
    • ในการจองชื่อและยื่นตรวจสอบเอกสารผ่านทางออนไลน์ ใช้เวลาไม่เกิน 1 วัน
    • เมื่อนายทะเบียนตรวจสอบเอกสารเสร็จแล้ว ก็สามารถยื่นจดทะเบียน ซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ 1 วัน

      ทั้งนี้ เมื่อจดทะเบียนเสร็จแล้ว นายทะเบียนจะมอบ “หนังสือรับรองบริษัท” เป็นหลักฐานการจดทะเบียนบริษัท อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ภาระหน้าที่ที่เกิดขึ้น

      จดทะเบียนบริษัทเสร็จแล้ว ตัวบริษัทจะมีภาระหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนี้

ภาระหน้าที่รายเดือน

  • จัดทำบัญชี โดยต้องหาผู้ทำบัญชี, จัดทำบัญชี, พร้อมเตรียมเอกสารประกอบการลงบัญชี, ปิดงบการเงิน, และจัดให้มีการตรวจสอบงบการเงินโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543)
  • ยื่นส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม: หากบริษัทมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด VAT) จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน แม้ไม่มีรายการการค้า และให้ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (หรือหากยื่นผ่านอินเตอร์เน็ท สามารถยื่นได้ไม่เกินวันที่ 23 ของเดือนถัดไป) 
  • ยื่นส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย: หากบริษัทมีการจ่ายค่าบริการ จะต้องทำการหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งสรรพากร ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (หากไม่มีการหัก ณ ที่จ่าย ก็ไม่ต้องยื่น)
    • ยื่นแบบ ภงด.1 เงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับพนักงานประจำ 
    • ยื่นแบบ ภงด.3 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับบุคคลธรรมดา ที่ไม่ใช่พนักงานประจำ
    • ยื่นแบบ ภงด.53 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับนิติบุคคลไทย
    • ยื่นแบบ ภงด.54 ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับนิติบุคคลต่างประเทศ
  • ยื่นประกันสังคม: บริษัทที่ขึ้นทะเบียนนายจ้าง และมีพนักงานประจำ จะต้องนำส่งเงินสมทบประกันสังคม ด้วยแบบ สปส.1-10 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป 

ภาระหน้าที่รายปี

  • ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล กลางปี: บริษัทต้องยื่นเสียภาษีเงินได้กลางปี โดยคำนวณจากประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี (ยกเว้นบริษัทที่เปิดกิจการปีแรก ไม่ต้องยื่นภาษีกลางปี) โดยยื่นด้วยแบบ ภงด.51 ภายใน 2 เดือน นับจากรอบระยะเวลาบัญชี 6 เดือน
  • ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล สิ้นปี: บริษัทต้องเสียภาษีเงินได้สิ้นปี จากกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมา โดยใช้แบบ ภงด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
  • ยื่นส่งงบการเงิน ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ติดตามความรู้ของ PEAK ที่
Blog: http://blogpeakaccount.todsorb.dev
Facebook:  facebook.com/peakengine/

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)